รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี นำคณะลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานการใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายใบอ้อยแทนการเผา ลดปัญหา PM2.5 และการปลูกพื้นใช้น้ำน้อยเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
วันที่ 5 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น ณ ที่ทำการกำนันตำบลน้ำสุด หมู่ที่ 4 ตำบลน้ำสุด อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี นายปรัชญา เปปะตัง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี พร้อมด้วย นางสาววัลภา ปันต๊ะ เกษตรจังหวัดลพบุรี นางสวามินี อิสระทะ ประชาสัมพันธ์จังหวัดลพบุรี นายอำเภอพัฒนานิคม หัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และเกษตรกรในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรม
นายปรัชญา เปปะตัง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้เป็นการลงมาเพื่อติดตามผลการดำเนินงานโดยใช้จุลินทรีย์ในการย่อยสลายใบอ้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางลดการเผาในพื้นที่การเกษตร เพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งดังกล่าวเป็นไร่ของนายมนตรี บุญเปลี่ยน กำนันตำบลน้ำสุด อำเภอพัฒนานิคม และเป็นประธานแปลงใหญ่อ้อยโรงงาน หมู่ที่ 4 ตำบลน้ำสุด ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญของนโยบาย มาตรการ และแนวทางการขับเคลื่อนป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในภาคการเกษตร มีแนวคิดว่าจะเป็นตัวอย่างในการบริหารจัดการแปลงปลูกอ้อยของตนแบบปลอดการเผา จึงได้ทำการทดลองใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายในพื้นที่ตนเองจำนวน 5 ไร่ โดยหลังจากตัดตออ้อยแล้ว ได้ทำการวางสายน้ำหยดในแปลงอ้อย เพื่อให้เกิดความชุ่มชื้น จากนั้นจึงนำจุลินทรีย์ย่อยสลายมาฉีดให้ทั่ว โดยจะทำการฉีดพุ่นทุกๆ 10 วัน เป็นเวลา 1 เดือน หลังจากนั้นฉีดเดือนละ 1 ครั้งจนถึงปัจจุบัน โดยให้จุลินทรีย์ย่อยสลายไปพร้อมกับน้ำที่ผสม ปุ๋ยหมักปล่อยไปตามสายน้ำหยด ในช่วงแรกฉีดพ่นโดยการใช้รถไถ หลังจากอ้อยโตเปลี่ยนมาใช้โดรนในการฉีดพ่น ซึ่งจากการดำเนินงานพบว่า ใบอ้อยเริ่มย่อยสลายใน 1 เดือน จากปกติที่ไม่ใช้จะเริ่มเปื่อยย่อยสลายใน 3 เดือน ต้นอ้อยโตเร็ว ต้นโต แตก กอดี ใบเขียว ดินนุ่มร่วนซุย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นผลดีกว่าการเผาเพราะทำให้ หนอนกอน้อยลง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ดินอุดมสมบูรณ์ และที่สำคัญคือต้นโตไว สำหรับอัตราส่วนในการผสม ใช้จุลินทรีย์ย่อยสลาย 100 cC ต่อน้ำ 10 ลิตร และนำไปผสมน้ำ 200 ลิตร เพื่อฉีดพ่น
หลังจากนั้นได้ลงพื้นเยี่ยมชมผลผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกพืชใช้น้ำน้อย ของนายมนตรี บุญเปลี่ยน ซึ่งเมื่อหมดฤดูฝน พื้นที่เกษตรจำนวนมาก ของตำบลน้ำสุด อำเภอพัฒนานิคม จะถูกปล่อยทิ้งว่าง ส่งผลให้เกษตรกรไม่มีรายได้ต่อเนื่องในช่วงฤดูแล้ง ตนจึงได้มีแนวคิดริเริ่มปรับเปลี่ยนแนวทางการใช้พื้นที่ โดยแบ่งบางส่วนของพื้นที่ปลูกพืชไร่จำนวน 8 ไร่ มาปลูกพืชฤดูแล้ง คือ มันแครอท เป็นพืชที่ใช้น้ำน้อยและสามารถเจริญเติบโตในสภาพแห้งแล้งได้ เพื่อสร้างรายได้เสริมในช่วงที่ไม่สามารถปลูกพืชหลักได้ สามารถสร้างผลิตได้ไร่ละ 2.5 ตัน ราคา ตันละ 8,000 บาท รวมรายได้ทั้งสิ้น รวม 127,150 บาท ทั้งนี้ได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร หรือโครงการส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ ที่ให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำการเลือกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล ตลอดจนการตลาด ทำให้สามารถมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และใช้ทรัพยากรในพื้นที่อย่างคุ้มค่าตลอดทั้งปี อีกด้วย
นอกจากนี้รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีและคณะในลงพื้นที่เยี่ยมชมเกษตรกรผู้ปลูกผักหวานของนายประเสริฐ โพธิ์ศรี โดย นายประเสริฐ โพธิ์ศรี ได้กล่าวว่า เริ่มปลูกเมื่อปี 2555 จำนวน 2,000 ต้น โดยจะปลูกมะขามเทศ เพื่อเป็นพืชพี่เลี่ยงให้ร่มเงาก่อนแล้วจึงปลูก ผักหวาน โดยจะตัดแต่งกิ่งมะขามเทศเมื่อมีทรงพุ่มหนา ช่วงระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวผลผลิต ตั้งแต่เดือนตุลาคม-เดือนพฤษภาคม รวม 8 เดือน เก็บยอดผักหวานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ๆ ละ 30-50 กิโลกรัม โดยระยะเวลา 8 เดือน ให้ผลผลิตประมาณ 1,500 กิโลกรัม หลังเก็บเกี่ยวแล้วปล่อยให้ต้นโต และเริ่มตัดแต่งกิ่งช่วงต้นเดือนตุลาคม เพื่อให้ต้นผักหวานแตกยอด และในช่วงหน้าแล้งรดน้ำทุก 15 วัน ปัจจุบันมีพ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่และต่างจังหวัดมารับซื้อที่สวน ราคากิโลกรัมละ 40 บาท ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับพื้นที่และเป็นอาชีพเสริมที่ยั่งยืนแก่เกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย
ข่าว : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลพบุรี